ข่าวการเมือง
"กฤษฎีกา" ยัน "ชาญ" รับตำแหน่ง นายก อบจ.ปทุมธานี ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่
"เลขาฯ กฤษฎีกา" ยืนยัน เมื่อ “ชาญ” รับตำแหน่ง นายก อบจ.ปทุมธานี ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่อัตโนมัติ เพราะมีผลตามกฎหมาย บอก ถ้ายังดื้อ กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น (สถ.) จะเป็นผู้สั่ง
เมื่อเวลา 08.50 น. วันที่ 2 ก.ค. 67 ที่มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา
นายปกรณ์ นิลประพันธ์ เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา ให้สัมภาษณ์กรณี นายชาญ
พวงเพ็ชร์ ผู้สมัครนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดปทุมธานี
ซึ่งชนะการเลือกตั้ง
แต่มีคดีค้างเก่าที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ
(ป.ป.ช.) เคยยื่นฟ้องต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ
และมีการประทับรับฟ้องไว้ นายชาญ จำเป็นต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่หรือไม่ ว่า
เมื่อไหร่ที่เข้ารับหน้าที่ก็ต้องหยุด
เมื่อถามว่า เมื่อเข้ารับตำแหน่งต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ทันทีหรือไม่ นายปกรณ์ กล่าวว่า ใช่ เพราะวัตถุประสงค์ของคณะกรรมการกฤษฎีกาให้เหตุผลทุกกรณีไว้ว่า หากถูกสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่โดย ป.ป.ช.ชี้มูล และมีคำถามว่าระหว่างนั้นเขาพ้นตำแหน่งแล้วกลับเข้ามาทำหน้าที่ใหม่จะต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่หรือไม่ ซึ่งโดยตรรกะต้องหยุด เพราะไม่ต้องการให้ยุ่งเหยิงกับคดีที่ผ่านมา และป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้น ซึ่งถือเป็นหลักกฏหมายปกติ เมื่อถามว่า กรณีดังกล่าวถือว่าต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่โดยอัตโนมัติ โดยที่ไม่ต้องมีหน่วยงานใดมาชี้ใช่หรือไม่ นายปกรณ์ กล่าวว่า ไม่ต้องมีหน่วยงานใดมาชี้ เพราะเป็นไปตามผลของกฎหมายอยู่แล้ว
เมื่อถามว่า นายชาญ มีสิทธิ์ไม่เชื่อความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกาหรือไม่ นายปกรณ์ กล่าวว่า หากนายชาญไม่เชื่อ กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น (สถ.) จะเป็นคนชี้ เพราะมีอำนาจหน้าที่ในการดูแลเรื่องของการเข้าสู่ตำแหน่ง การดำรงตำแหน่ง และการปฏิบัติหน้าที่ ดังนั้น สถ.จึงเป็นผู้มีคำสั่งดำเนินการกับผู้เกี่ยวข้องต่อไป เมื่อถามว่า ใครจะทำหน้าที่แทนนายชาญ นายปกรณ์ กล่าวว่า คงเป็นปลัด อบจ.ปทุมธานี ซึ่งเป็นข้าราชการประจำ อย่างไรก็ตามในรายละเอียดเรื่องนี้อยากให้สอบถามอธิบดีสถ. และนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย.
“เทวฤทธิ์” ปูด ผู้สมัครฝ่ายเสรีประชาธิปไตย ถูกเครือข่าย “สีน้ำเงิน” ดึงตัว
“ว่าที่ สว.เทวฤทธิ์ มณีฉาย” ชี้พิรุธ เลือก สว. ลำดับ 1-7 คะแนนนำโด่ง แต่งกายคล้ายกัน เผย รอบไขว้ไม่มีให้แนะนำตัว เหมือนรอบจังหวัด ปูด ผู้สมัครเสรี ถูกเครือข่าย “สีน้ำเงิน” ดึงตัว
วันที่ 28 มิถุนายน 2567 ที่คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ นายเทวฤทธิ์ มณีฉาย ว่าที่สมาชิกวุฒิสภา กลุ่ม 18 กล่าวถึงข้อพิรุธ ในการเลื่อนสมาชิกวุฒิสภาระดับประเทศวานนี้ ว่า ตนใช้วิธีสังเกตจากผลคะแนนของผู้สมัคร ที่อันดับ 1-7 ของทุกกลุ่ม จะมีคะแนนนำโด่ง และอาจหาความสัมพันธ์ได้ว่ามีความเกี่ยวข้องกับเครือข่าย “สีน้ำเงิน” ที่อาจเข้ามาเพื่อเป็นเครือข่ายเฉพาะกิจ อีกทั้งเช้าวันเลือก ตนพยายามเดินแจกเอกสารแนะนำตัว จึงสังเกตเห็นรถตู้เหมือนกัน ผู้สมัครแต่งกายเหมือนกันจำนวนมาก แต่ก็คิดเพียงว่าอาจจะเป็นการอำนวยความสะดวกของโรงแรม
นอกจากนี้ ยังมีข้อสังเกตที่ กกต. ไม่เปิดให้แนะนำตัวในรอบไขว้ แม้ว่าก่อนหน้านี้ในรอบจังหวัด และอำเภอ จะเคยทำมาก่อนก็ตาม จึงทำให้เห็นว่าไม่มีความคงเส้นคงวาในระบบการเลือกนี้ พร้อมกล่าวถึงปัจจัยที่จะชนะในการเลือกนี้คือ จำนวนของเครือข่าย เหมือนกับกลุ่มของตนที่พยายามร้อยเรียงสมาชิกที่มีอุดมการณ์เหมือนกัน แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าอีกฝั่งก็มีอุดมการณ์เหมือนกัน แต่ก็ไม่เป็นที่แน่นอนว่าอุดมการณ์ในรูปแบบไหน อีกส่วนหนึ่งคือความเป็นเอกภาพในกลุ่มผู้สมัคร อย่างที่บอกว่าอุดมการณ์เสรีประชาธิปไตยก็พยายามจับกลุ่มรวมกัน แต่อีกฝั่งของผู้แข่งกันก็ทำไปด้วย บางครั้งร้ายแรงถึงขั้นที่มีการดึงคนของฝ่ายตนเองออกไปร่วมด้วย
“พานทองแท้” อ้อนขอเสียงชาวปทุมฯ
“พานทองแท้” อ้อนขอเสียงชาวปทุมฯ
เย็นวันเดียวกัน นายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชายนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ พร้อม น.ส.ขัตติยา สวัสดิผล สส.บัญชีรายชื่อ พรรค พท. นายสมัสนันท์ หลีนวรัตน์ สส.ปทุมธานี พรรค พท. และทีมงานพรรค ลงพื้นที่ตลาดฉัตรไพลินและตลาดสามโคก เพื่อช่วยนายชาญ พวงเพ็ชร์ ผู้สมัครนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ปทุมธานี ในนามพรรค พท.หาเสียง ระหว่างการเดินตลาดนายพานทองแท้ ได้แจกโบรชัวร์แนะนำตัวผู้สมัคร พร้อมเดินทักทายพ่อค้าแม่ค้าและประชาชนในตลาดอย่างเป็นกันเอง จากนั้นขึ้นรถแห่หาเสียงขอคะแนนจากประชาชนในพื้นที่ ขอให้เลือกนายชาญ ผู้สมัครหมายเลข 1 เป็นนายก อบจ.ปทุมธานี ที่จะเลือกตั้งในวันที่ 30 มิ.ย. ตลอดการลงพื้นที่มีผู้สนับสนุนพรรค พท.เข้ามาให้ดอกไม้เป็นกำลังใจอย่างคึกคัก ผู้สื่อข่าวถามนายพานทองแท้ถึงการเลือก นายก อบจ.ครั้งนี้มั่นใจตัวผู้สมัครจะชนะการเลือกตั้งได้หรือไม่ นายพานทองแท้ ยิ้มตอบพร้อมกล่าวว่า ให้ถามผู้สมัครรับเลือกตั้ง ระหว่างนั้นประชาชนที่เข้ามาขอถ่ายรูปพากันตะโกนตอบแทนว่า “มั่นใจเต็มร้อย”
“ยิ่งลักษณ์” ดีใจ ที่วันนี้ไทยผ่านสมรสเท่าเทียม ชี้ เป็นคนเริ่มผลักดัน
“ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” เผย ตอนเป็นรัฐบาล ได้เริ่มผลักดัน พ.ร.บ.คู่ชีวิต ดีใจมากที่เคยเป็นส่วนหนึ่งในเส้นทางสายนี้ จนกฎหมายสมรสเท่าเทียม เกิดขึ้นในประเทศไทย ที่ให้คู่รักทุกคู่แต่งงานกันได้ โดยไม่เลือกปฏิบัติ
วันที่
18 มิถุนายน 2567 น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โพสต์เฟซบุ๊ก
ภายหลังที่ประชุมวุฒิสภา ผ่านร่าง พ.ร.บ.สมรสเท่าเทียม ว่า ตอนเป็นนายกฯ
เราฝันเห็นภาพคู่รักทุกคู่มีสิทธิเท่ากัน รัฐบาลและสภาฯ
ในขณะนั้นจึงเริ่มผลักดัน พ.ร.บ.คู่ชีวิต เพราะเราเชื่อว่าถ้าเริ่มต้นนับ 1
ได้ก่อน ไม่นานจะถึงเส้นชัยได้แน่นอน เส้นทางการต่อสู้ยาวนานมาจนถึงวันนี้
วันที่กฎหมายสมรสเท่าเทียม เกิดขึ้นในประเทศไทย
นี่คือความร่วมมือร่วมใจกันของทุกฝ่าย ทั้งภาคประชาชน รัฐบาล
และฝ่ายนิติบัญญัติ คนไทยทุกคน คู่รักทุกคู่ จะสามารถแต่งงานกันได้
และจะมีสิทธิเท่าเทียมกันโดยไม่ถูกเลือกปฏิบัติ
“ดิฉันดีใจมาก ที่เคยได้เป็นส่วนหนึ่งในเส้นทางสายนี้ และยินดีกับความสำเร็จของกฎหมาย “ความรัก” เราเลือกได้ด้วยหัวใจ ไม่ว่าจะรูปแบบไหน ดิฉันภูมิใจกับทุกคนเสมอค่ะ”
#สมรสเท่าเทียม #lovewins
นายกฯ เปิดทำเนียบฯ จัดงานฉลองกฎหมายสมรสเท่าเทียม หลัง สว.ผ่านความเห็นชอบ
นายกฯ เปิดทำเนียบรัฐบาล จัดงานฉลองกฎหมายสมรสเท่าเทียมอย่างยิ่งใหญ่ หน้าตึกไทยคู่ฟ้า หลัง สว.ผ่านความเห็นชอบท่วมท้น ดารา-ศิลปิน คนดัง ตบเท้าร่วมงานกันอย่างคับคั่ง
วันที่ 18 มิ.ย. ที่ทำเนียบรัฐบาล ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ทำเนียบรัฐบาล จัดงานเลี้ยงรับรอง เพื่อแสดงความยินดีกับจุดเริ่มต้นของกฎหมายสมรสเท่าเทียม โดยเปิดบริเวณสนามหญ้าหน้าตึกไทยคู่ฟ้า จัดอีเวนต์สีรุ้ง มี LGBT ศิลปิน ดารา นักแสดงชื่อดัง ร่วมงานกันอย่างคับคั่ง โดยนายกรัฐมนตรีมอบหมายให้ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธาน และ นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กล่าวแสดงความยินดี นอกจากนี้ ยังมีเอกอัครราชทูตมาร่วมแสดงความยินดีในงานครั้งนี้ด้วย นายวราวุธ กล่าวว่า ต้องขอบคุณความร่วมมือจากทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ สภาผู้แทนฯ วุฒิสภา และพรรคการเมือง รวมถึงภาคอื่นๆ ที่ร่วมกันผลักดันจนกระทั่งร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ หรือกฎหมายสมรสเท่าเทียม ได้ผ่านขั้นตอนต่างๆ และวันนี้ได้รับความเห็นชอบจากที่ประชุมวุฒิสภา ซึ่งรัฐบาลได้ให้ความสำคัญกับการส่งเสริมความเท่าเทียมทางเพศ ถือเป็นส่วนหนึ่งของสิทธิมนุษยชนที่มนุษย์ทุกคน ทุกเพศ ทุกวัย ทุกสถานะ มีสิทธิจะได้รับความคุ้มครองให้มีความเสมอภาคเท่าเทียมกัน และเมื่อกฎหมายฉบับนี้ได้ผ่านการรับรองและมีผลบังคับใช้ จะทำให้ประเทศไทยเป็นประเทศแรกในอาเซียน และประเทศที่สามในเอเชีย ที่มีกฎหมายสมรสเท่าเทียม และจะเปิดโอกาสให้ผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศสามารถสมรสกันได้ตามกฎหมาย และยังมีสิทธิและประโยชน์ครอบคลุมทุกมิติ ทั้งทางกฎหมายและทรัพย์สิน และคิดว่าจะเป็นการส่งเสริมภาคธุรกิจของประเทศไทย ให้คู่สมรสเพศเดียวกันที่อยากจดทะเบียนสมรส สามารถเดินทางมาที่ประเทศไทยในการจดทะเบียนสมรสกันได้ ขณะที่ นายอัครนันท์ กัณณ์กิตตินันท์ สส.พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า รู้สึกดีใจเป็นอย่างยิ่ง หลังจากวันนี้เห็นวุฒิสภาเห็นชอบผ่านร่างกฎหมายสมรสเท่าเทียมเพราะเป็นสิ่งที่พรรคการเมืองและสภาผู้แทนฯ ผลักดันกันมานาน หลังจากนี้ก็จะมีกฎหมายสำหรับคู่สมรสที่เป็นเพศเดียวกันแล้ว จึงอยากให้คู่รักเพศเดียวกันเดินทางมาประเทศไทยมาจดทะเบียนสมรสได้ ส่วน นายคชาภา ตันเจริญ และ นายธนัชพันธ์ บูรณาชีวาวิไล หรือ ดีเจบุ๊คโก๊ะ ก็กล่าวว่า ในฐานะที่เป็นตัวแทนของ LGBT รู้สึกดีใจ เพราะกว่าจะมีวันนี้ได้ประเทศไทยต้องรอมากกว่า 20 ปี เชื่อว่าหลังจากนี้จะทำให้คู่รักที่เป็นเพศเดียวกันได้มีสิทธิเท่าเทียม สมกับการรอคอยมานาน
อธิบดีคุก เผยคดี "ทักษิณ" หากศาลไม่ให้ประกันตัว ต้องคุมตัวเข้าเรือนจำ
อธิบดีกรมคุก เผย คดี "ทักษิณ" ในวันพรุ่งนี้ หากศาลไม่อนุญาตให้ประกันตัวชั่วคราว และมีคำสั่งฝากขัง จะต้องถูกคุมตัวเข้าเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ และต้องแยกจากคดีเก่า ที่มีการพักโทษ ส่วนที่หวั่นจะถูกส่งตัวไปรักษา ก็อยู่ที่อาการป่วย
เมื่อวันที่
17 มิ.ย. 67 นายสหการณ์ เพ็ชรนรินทร์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์
กล่าวถึงกรณีหากในวันที่ 18 มิ.ย. อัยการมีการนำตัวนายทักษิณ ชินวัตร
ส่งฟ้องต่อศาล และหากศาลไม่อนุญาตให้ประกันตัวชั่วคราว
ขั้นตอนจะเป็นอย่างไร ว่า หากในวัน 18 มิ.ย. ศาลไม่อนุญาตประกันตัว
และศาลมีคำสั่งฝากขัง
บุคคลนั้นก็จะต้องถูกเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์คุมตัวเข้าเรือนจำ
โดยเป็นการแยกออกจากคดีเก่าที่เจ้าตัวมีโทษจำคุกและอยู่ระหว่างการพักโทษ
เพราะคดีใหม่ เป็นคนละส่วนกัน ซึ่งจะต้องถูกคุมขังในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ
เพราะเป็นเรือนจำระหว่างพิจารณาคดี
ส่วนที่นายทักษิณได้รับการพักโทษและถูกคุมประพฤติ
ซึ่งดำเนินการอยู่ในขณะนี้จะมีผลอย่างไรบ้าง จะถูกยุติไปเลยหรือไม่
เพราะเจ้าตัวมีห้วงเวลาพักโทษ 6 เดือน คือ สิ้นสุดที่เดือน ส.ค.นี้
กรณีดังกล่าวต้องมองผลการพิจารณาของศาลในวันพรุ่งนี้
หากศาลไม่อนุญาตประกันตัวชั่วคราว การพักโทษก็จะไม่มีผลอะไร
เพราะผู้ถูกคำสั่งศาล จะต้องถูกนำตัวเข้าเรือนจำฯ
อย่างไรก็ตาม
การพักโทษจะไม่ได้มีอันยุติลง ยืนยันว่าสิทธิ์ในการพักโทษยังคงมีอยู่
ระยะเวลาก็ดำเนินไปตามปกติจนกว่าจะครบ 6 เดือน การพักโทษก็ไม่ได้ส่งผลอะไร
ส่วนประเด็นเรื่องข้อกังวลของสังคมที่อาจจะมองว่าหากนายทักษิณ
ถูกคุมตัวเข้าเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร หากมีอาการเจ็บป่วย
จะต้องส่งตัวไปนอนพักรักษาภายนอกเรือนจำฯ เป็นครั้งที่สองอีกหรือไม่นั้น
การจะส่งไปรักษาตัวภายนอกเรือนจำฯ ขึ้นอยู่กับอาการเจ็บป่วยของผู้ต้องขัง
ถ้าเขาไม่มีการเจ็บป่วย
ทางราชทัณฑ์ก็ไม่สามารถอนุญาตให้ส่งตัวออกรับการรักษาได้อยู่แล้ว
นอกจากนี้ ในส่วนข้อกังวลว่าอาจเข้าเงื่อนไขของระเบียบคุมขังนอกเรือนจำฯ หรือไม่นั้น ตนขอเรียนว่าระเบียบดังกล่าวยังดำเนินการไม่แล้วเสร็จ ยังอยู่ระหว่างการพิจารณารายละเอียดหลักเกณฑ์ต่างๆ ยืนยันว่า ตอนนี้ยังไม่สามารถใช้กับผู้ต้องขังรายใดได้ แต่กรมราชทัณฑ์ก็พยายามเร่งรัดเรื่องการวางกรอบแนวทาง หลักการปฏิบัติสำหรับราชทัณฑ์และผู้ต้องขังที่มีคุณสมบัติ เพราะก็ค้างมานานแล้ว กรณีของนายทักษิณ หากมีการคุมประพฤติจนครบตามกำหนด 6 เดือนเสร็จสิ้น ก็ถือว่าพ้นการพักโทษ ส่วนขั้นตอนหลังจากนั้น ทางกรมราชทัณฑ์ โดย ผบ.เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร จะดำเนินการออกใบบริสุทธิ์พ้นโทษ และส่งเอกสารรายงานดังกล่าวแจ้งไปยังสำนักงานคุมประพฤติกรุงเทพมหานคร 1 ซึ่งเป็นหน่วยงานเจ้าของพื้นที่
ทั้งนี้ผู้สื่อข่าวได้สอบถามกับอธิบดีกรมราชทัณฑ์
ว่า “น.ส.ยิ่งลักษณ์”
ได้มีการยื่นขอพระราชทานอภัยโทษรายบุคคลมายังกรมราชทัณฑ์ บ้างหรือไม่
ซึ่งอธิบดีกรมราชทัณฑ์ ยืนยันว่า
เจ้าตัวยังไม่ได้มีการประสานหรือยื่นขออภัยโทษรายบุคคลมายังกรมราชทัณฑ์แต่อย่างใด
"ปริญญา" คาด "ทักษิณ" หวัง อัยการสูงสุด "ถอนฟ้อง-เปิดข้อต่อสู้คดี"
"อ.ปริญญา เทวานฤมิตรกุล" คาด "ทักษิณ" หวัง อัยการสูงสุด "ถอนฟ้อง-เปิดข้อต่อสู้คดี" หลังกระแสข่าวยื่นขอความเป็นธรรม รอบ 2 เชื่อ มีเรื่องพิเศษหากถอนฟ้อง แต่ส่วนตัวยอมรับ เป็นเรื่องที่ยากอยู่เหมือนกัน
วันที่ 11 มิ.ย. 2567 คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ ผศ.ดร.ปริญญา เทวานฤมิตรกุล ให้สัมภาษณ์ถึงกระแสข่าวที่นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ยื่นคำร้องขอความเป็นธรรมต่ออัยการสูงสุด หลังมีการสั่งฟ้องในคดีความผิดอาญา มาตรา 112 โดยมีความเห็นเป็นสองมุมว่า ประการหนึ่งคือนายทักษิณ ต้องการร้องขอความเป็นธรรมครั้งนี้ เพื่อให้สาธารณะรู้ว่าตนเองพยายามที่จะชี้แจงว่าไม่มีความผิดตามข้อกล่าวหา อีกประการคือ หากการเรียกร้องสำเร็จ และอัยการสูงสุดรับฟังและมีมติใหม่ในการถอนฟ้อง ซึ่งหากเป็นเช่นนี้ตนก็เชื่อว่า จะมีเรื่องพิเศษที่อยู่เบื้องหลังมติถอนฟ้องดังกล่าว แต่ตนก็คิดว่าเป็นเรื่องที่ยากอยู่เหมือนกัน
อย่างไรก็ตาม การร้องขอความเป็นธรรมดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็นนายทักษิณ หรือตน ก็สามารถทำได้ในทุกขั้นตอนของกระบวนการยุติธรรม ซึ่งต่างจากการฟ้องศาล ที่ต้องดำเนินตามวิธีพิจารณาความอาญา ซึ่งก็ต้องดูต่อว่า การร้องมีข้อความในเอกสารที่คล้ายกับครั้งแรก เมื่อตอนที่ออกจากโรงพยาบาลตำรวจหรือไม่
“ธนาธร”แฉตกเขียว“พิธา”แจงสู้ยุบพรรคก้าวไกล เผย 9 แนวทาง คำร้องไม่ชอบ กกต.สวนกลับ
“พิธา” ยก 9 แนวทางสู้ยุบพรรค ย้ำ 4 ประเด็น ศาล รธน.ไม่มีอำนาจพิจารณา-กกต.ยื่นคำร้องไม่ชอบด้วยกฎหมาย-ต้องวินิจฉัยข้อเท็จจริงใหม่-มาตรการยุบพรรคต้องใช้ระมัดระวัง ซัด กกต.ไม่เคยเตือนเรื่องนโยบายเหมือนพรรคอื่น จะยุบคิดให้ดีทำลายหลักการ ปชต. “ธนาธร” ถึงกับร้องโอ้โห “ช่อ” ถาม ก.ก.กวาด 300 ที่นั่ง เผยมีทีมตกเขียวใช้เงินล่อซื้อ สส. หากถูกยุบพรรคจริง สส.ก.ก.ไม่กังวลเดินหน้าลุยงานต่อ “อิทธิพร” ยกคำวินิจฉัยศาล รธน.ชี้ชัด “เศรษฐา” ตะลอนทัวร์ลำปาง ชมแปรรูปจากมูลช้าง สักการะพระธาตุลำปางหลวง ชิมข้าวแต๋น-แชมป์กะเพราเนื้อ ระดมโปรโมตท่องเที่ยวเมืองรอง นิด้าโพลชี้คนยังไม่พอใจผลงาน 9 เดือน รบ. ซูเปอร์โพลเผยประชาชนหมดหวังองค์กรอิสระ ไม่เห็นด้วยเกมสอยนายกฯ
นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล แถลงแนวทางการต่อสู้คดียุบพรรค ก.ก. ตามคำชี้แจงที่ส่งไปยังศาลรัฐธรรมนูญ เน้นรายละเอียดข้อเท็จจริง และข้อกฎหมายของคดี ขณะที่นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า เผยเริ่มมีขบวนการตกเขียวใช้เงินล่อซื้อ สส. หากถูกยุบพรรคจริง
นายกฯชมศูนย์อนุรักษ์ช้างลำปาง
นายกฯชมศูนย์อนุรักษ์ช้างลำปาง
เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 9 มิ.ย.ที่ จ.ลำปาง นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เยี่ยมชมโรงพยาบาลช้าง ศูนย์อนุรักษ์ช้างไทย ต.เวียงตาล อ.ห้างฉัตร มีนายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง นายชัชวาลย์ ฉายะบุตร ผวจ.ลำปาง นายธนาธร โล่ห์สุนทร สส.ลำปาง พรรคเพื่อไทย (พท.) ร่วมคณะ มีกลุ่มแฟนคลับสวมเสื้อยืดสีขาวสกรีนข้อความ “รักนายกฯเศรษฐา” พร้อมตะโกนเชียร์ว่า “รักนายกฯเศรษฐา” โดยทางศูนย์ได้นำช้าง 8 เชือกมาต้อนรับ ขณะที่นายเศรษฐาได้ให้อาหาร เช่น กล้วย อ้อย ฟักทอง และชมสาธิตการปฐมพยาบาลช้าง เดินชมผลิตภัณฑ์จากมูลช้าง อาทิ ปุ๋ยมูลช้าง ผลิตภัณฑ์กระดาษมูลช้าง ขณะที่พังสมศรี อายุ 11 ปี ส่งกระเป๋าผ้าที่วาดลวดลายเองใส่ในกล่องที่ทำจากมูลช้างให้เป็น ที่ระลึก จากนั้นนายกฯเยี่ยมพลายศักดิ์สุรินทร์ ที่ทางศูนย์เพิ่งเปิดให้เยี่ยมชมเป็นวันแรก หลังไปเป็นทูตสันถวไมตรีที่ศรีลังกานานถึง 22 ปี สักการะพระธาตุลำปางหลวง
ต่อมาเวลา 11.20 น. นายเศรษฐาและคณะ เข้ากราบพระประธานในพระอุโบสถ วัดพระธาตุลำปางหลวง ต.ลำปางหลวง อ.เกาะคา ก่อนกราบนมัสการและสนทนาธรรมกับพระครูพิธานนพกิจ เจ้าอาวาสวัดพระธาตุลำปางหลวง พร้อมสั่งการให้ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) หากิจกรรมรองรับ หากมีกิจกรรมสำคัญที่เชียงใหม่ เพราะลำปางเป็นจังหวัดทางผ่าน ให้โปรโมตสถานที่และเส้นทางท่องเที่ยวให้สอดคล้องกัน รวมทั้งสั่งการให้ รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่กำกับดูแลสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ประสาน พศ. ทำงานควบคู่กับ ททท.ในการโปรโมตการท่องเที่ยว ทั้งนี้ ระหว่างการสนทนาธรรม เจ้าอาวาสระบุว่าถือเป็นนิมิตหมายที่ดีที่นายกฯเดินทางมายังพระธาตุลำปางหลวง เพราะเป็นพระธาตุประจำปีเกิดคือปีฉลู แต่นายกฯแย้งว่าเกิดปีขาล เจ้าอาวาสจึงระบุว่าวันที่ 15 ก.พ.2505 วันเกิดของนายกฯถ้านับตามนักษัตรของภาคเหนือถือว่ายังอยู่ปีฉลู จากนั้นเจ้าอาวาสได้มอบองค์พระธาตุจำลองลำปางหลวง เหรียญพระแก้วมรกตดอนเต้า และพระรอดลำปางหลวง พระคู่บ้านคู่เมืองของชาวลำปาง ที่ทำจากเนื้อเงินและเนื้อทองมาจากส่วนที่เหลือที่หุ้มพระธาตุในการบูรณะเมื่อปี 2550 ก่อนสวดให้พรนายกฯประสบความสำเร็จในการบริหารราชการแผ่นดิน จากนั้นนายกฯได้สักการะพระธาตุลําปางหลวงเพื่อความเป็นสิริมงคล และชมเงาพระธาตุกลับหัว Unseen in Thailand ก่อนร่วมถ่ายรูปเป็นที่ระลึก
ชิมข้าวแต๋น-แชมป์กะเพราเนื้อ
จากนั้นนายกฯเยี่ยมชมร้านข้าวแต๋นทวีพรรณ อ.เกาะคา มีนายชาญยุทธ อินทร์พรหม เจ้าของร้าน สมาชิกชมรมกำนัน-ผู้ใหญ่บ้าน ต.นาแก้ว อ.เกาะคา เทศบาลตำบลนาแก้ว และชาวบ้าน มาถือป้ายมอบดอกกุหลาบและตะโกนว่า“ลำปางยินดีต้อนรับ” จากนั้นเยี่ยมชมการผลิตข้าวแต๋นน้ำแตงโม ชิมข้าวแต๋นรสชาติต่างๆ โดยนายกฯชิมข้าวแต๋นหน้าสาหร่าย ชมรสชาติดีเหมือนสาหร่ายญี่ปุ่น จากนั้นเดินทางไปยังร้านครัวเนื้อหอม ต.พระบาท อ.เมืองลำปาง ชมสาธิตการทำกะเพราเนื้อ (แชมป์ World Kaphrao Thailand Grand Prix 2023) และรับประทานอาหารกลางวันที่ร้าน นายกฯยังโพสต์ภาพและข้อความลงโซเชียลมีเดียว่า ชวนชิม “ข้าวแต๋นน้ำแตงโม” และ “กะเพราเนื้อ” Must Eat ลำปาง มาทั้งทีเลยมาขอดูการผลิต อุดหนุนข้าวแต๋นน้ำแตงโมของโปรดคุณแม่ รสชาติเค็มๆ มันๆ หวานๆ กรอบๆ ทานเล่นได้ไม่เบื่อ ซื้อกลับไปฝากคุณแม่เยอะเลย ส่วนกะเพราเนื้อร้านครัวเนื้อหอม เพิ่งคว้าแชมป์มาหมาดๆ ถือเป็น “ผัดกะเพราที่อร่อยที่สุดในประเทศไทย” ณ ตอนนี้ ผัดกะเพรา lover ทั้งหลายพลาดไม่ได้
ต้มไข่บ่อน้ำร้อนอุทยานแจ้ซ้อน
กระทั่งเวลา 14.40 น. นายเศรษฐาเยี่ยมชมสถานที่ท่องเที่ยวและผลิตภัณฑ์ชุมชนหมู่บ้านแจ้ซ้อน อุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อน อ.เมืองปาน มีประชาชนมารอชูป้ายต้อนรับ และมอบดอกกุหลาบสีแดงให้กำลังใจ พร้อมผูกผ้าขาวม้า มีนายไพโรจน์ โล่ห์สุนทร อดีตแกนนำพรรคไทยรักไทย (ทรท.) มาต้อนรับ จากนั้นนายกฯถ่ายรูปหน้าป้ายลานน้ำพุร้อน ก่อนทดลองต้มไข่ที่บ่อน้ำร้อน และเดินเยี่ยมชมบูธผลิตภัณฑ์โอทอป อาทิ ผ้าฝ้ายทอมือย้อมสีธรรมชาติ กลุ่มน้ำมอญแจ้ซ้อน ผ้าปักด้วยมือแจ้ซ้อน ผลิตภัณฑ์กาแฟ กลุ่มกาแฟตั๋วกะหมี สมุนไพรแจ้ซ้อน Herb ข้าวทิพย์ กลุ่มข้าวสายน้ำแร่ เป็นต้น
ระดมโปรโมตท่องเที่ยวเมืองรอง
นายเศรษฐาให้สัมภาษณ์ถึงภารกิจลงพื้นที่จ.เชียงใหม่-ลำพูน-ลำปาง ระหว่างวันที่ 7-9 มิ.ย. ว่า เป็นการเปิดเมืองที่น่าท่องเที่ยว ทุกพื้นที่เราจะมีข้อแก้ไข ไม่ใช่แค่มาโปรโมตเฉยๆ อย่างอุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อน การไปมาหาสู่อาจลำบาก แต่เชื่อว่าถ้ามาแล้วคุ้มค่า ถนนที่จะตัดไป จ.เชียงใหม่ ระหว่างทางมีความกว้างน้อยมาก ให้ไปดูว่าจะขยายถนนได้หรือไม่ ให้ประชาชนสะดวกสบายมากขึ้น มาครั้งนี้ได้เนื้องานครบ อย่างการท่องเที่ยว จ.ลำพูนได้ไปดูในเชิงลึกว่าจะทำอย่างไรที่จะปรับปรุงด้านสถาปัตยกรรม พิพิธภัณฑ์ อย่างที่บอกว่าปีหน้าจะเป็นปีที่ใหญ่ที่สุดของการท่องเที่ยวประเทศไทย เราจะคิกออฟไตรมาส 4 ที่ จ.เชียงใหม่ ให้จัดอีเวนต์ทุกสัปดาห์ ส่วนจังหวัดข้างเคียงได้พูดคุยกับผู้ว่าการ ททท. และกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ว่าควรต้องมีกิจกรรมเสริมทุกจังหวัด เพื่อที่คนจะมาท่องเที่ยวจะได้อยู่นานๆ มาจับจ่ายใช้สอยและกระจายรายได้ไปสู่ทุกภูมิภาค
.
“ทักษิณ” ห่วง ปท.ไม่ใช่ปลุกปั่น
ทักษิณ” ห่วง ปท.ไม่ใช่ปลุกปั่น
นายเศรษฐายังกล่าวถึงกรณีนักวิชาการบางคนมองการพูดของนายทักษิณ
ชินวัตร อดีตนายกฯ เป็นเรื่องของการปลุกปั่นว่า
ไม่ได้มองเป็นลักษณะของการปลุกปั่น
เชื่อว่าแต่ละคนมีหลักความคิดและวิธีคิดแตกต่างกันไป
เชื่อว่านายทักษิณหรืออีกหลายท่าน ทุกคนเป็นห่วงบ้านเมือง
แต่วิธีการพูดวิธีการตักเตือนมีหลายวิธีแตกต่างกัน
หน้าที่ฝ่ายบริหารมีหน้าที่รับฟังอะไรที่เหมาะสมรับไปพิจารณา
เมื่อถามว่าความเคลื่อนไหวนายทักษิณ มองได้ 2 มุม บางคนมองว่าช่วยดึงมวลชน
แต่บางมุมมองว่ากระทบต่อภาพลักษณ์รัฐบาล นายเศรษฐาตอบว่า
ในฐานะนายกฯพยายามทำตัวให้เป็นน้ำไม่เต็มแก้ว
ข้อแนะนำต่างๆบางทีสื่อมวลชนก็แนะนำแรง แต่เรามองถึงเจตนารมณ์ดีกว่า
เชื่อว่าทุกคนอยากให้ประเทศชาติเดินไปข้างหน้าได้
พยายามมองให้เป็นบวกดีกว่า
เป็นคนรับทำมีอำนาจเบ็ดเสร็จ
ผู้สื่อข่าวถามว่า
การเคลื่อนไหวในลักษณะอำนาจเชิงซ้อนแบบนี้มีผลต่อสายตานักลงทุนต่างชาติหรือไม่
นายเศรษฐาตอบว่า ไม่พูดว่าอำนาจเชิงซ้อน แล้วแต่จะไปคิดกันเอง
แต่อำนาจเบ็ดเสร็จอยู่ที่ตน เป็นคนเซ็นทุกอย่างที่ลงนามผิดหรือถูก
ตนเป็นคนรับทำ และบอกมาตลอดเจออดีตนายกฯท่านไหนก็จะเข้าไปหา
ถ้ามีอะไรแนะนำก็น้อมรับ อย่าใช้คำว่าอำนาจซ้อน
เราใช้คำว่ารัฐบาลนี้รับฟังความคิดเห็นจากทุกฝ่าย บทพิสูจน์ที่เข้ามา 9-10
เดือนนี้ พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่ามีอิสรภาพส่วนหนึ่ง
เมื่อถามว่าดูเหมือนกระทบชิ่งไปพรรคร่วมรัฐบาลด้วย
จะกระทบต่อเสถียรภาพรัฐบาลหรือไม่ นายเศรษฐาตอบว่า
คนอยู่ด้วยกันก็มีทั้งเห็นด้วยและเห็นต่าง
ในฐานะหัวหน้ารัฐบาลมีหน้าที่ประสานใจ หากมีเรื่องข้องใจก็มานั่งพูดคุยกัน
พยายามพูดคุยกับทุกพรรคมาตลอดและจะคุยต่อไป ที่ถามว่าเป็นห่วงไหมก็เป็นห่วง
แต่สะดุดไหมตนว่าไม่สะดุด ฉะนั้นท้าทายแต่ไม่สะดุด
หากได้ดูวิธีการทำงานของตนไม่ได้ย่อท้อ เจอปัญหาก็ยังทำงานต่อไป
พรุ่งนี้เช้าก็ตื่น 7 โมงเช้าไปทำงานเหมือนเดิม
เมื่อถามว่าเห็นนายกฯยังยิ้มได้อยู่ นายเศรษฐายิ้มพร้อมกล่าวว่า “ครับ
ยังยิ้มได้อยู่ครับ แต่บางทีก็กัดฟันเหมือนกัน”
“พิธา” แจง 9 แนวทางสู้คดียุบพรรค
ช่วงเช้าที่พรรคก้าวไกล (ก.ก.) นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์
ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล เปิดแถลงแนวทางการต่อสู้คดียุบพรรคว่า 9
ประเด็นที่พรรคส่งคำชี้แจงไปยังศาลรัฐธรรมนูญ เน้นรายละเอียดข้อเท็จจริง
และข้อกฎหมายของคดี ไม่ได้เป็นการชี้นำหรือวิพากษ์วิจารณ์ศาล มี 4
ประเด็นที่ต้องการเน้นย้ำต่อสาธารณชน ได้แก่
1.ศาลรัฐธรรมนูญไม่มีเขตอำนาจพิจารณาวินิจฉัยคดีนี้ ขอบเขตอำนาจมาตรา 210
ระบุไว้ชัดเจนว่าศาลรัฐธรรมนูญมีหน้าที่และอำนาจเฉพาะ คือ (1)
วินิจฉัยความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของกฎหมาย หรือร่างกฎหมาย (2)
วินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับหน้าที่และอำนาจของสภาฯ วุฒิสภา รัฐสภา คณะรัฐมนตรี
หรือองค์กรอิสระ และ (3) หน้าที่และอำนาจอื่น ตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ
ในรัฐธรรมนูญมาตราอื่นไม่มีข้อใดที่บัญญัติให้ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจในการยุบพรรคและตัดสิทธิทางการเมือง การที่อ้างว่ามีอำนาจยุบพรรคตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ และ พ.ร.ป.พรรคการเมือง เป็นการอ้างกฎหมายที่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ
คำร้อง กกต.ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
นายพิธากล่าวต่อว่า 2.กระบวนการยื่นคำร้องของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่ได้ปฏิบัติตามระเบียบ กกต. พรรค ก.ก.ไม่เคยมีโอกาสได้รับทราบข้อเท็จจริง โต้แย้ง หรือนำพยานหลักฐานเข้าสู่กระบวนการของ กกต. ไม่ได้หมายความว่า กกต.เห็นว่ามีข้อมูลเพียงพอแล้ว ฟ้องได้เองเลย โดยไม่ต้องคำนึงถึงมาตรา 93 กระบวนการยื่นคำร้องของ กกต.ในคดีนี้ จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย 3.การพิจารณายุบพรรค ก.ก.ต้องวินิจฉัยข้อเท็จจริงใหม่ จะอ้างว่าข้อเท็จจริงที่กล่าวหาพรรคล้มล้างการปกครองเป็นที่ยุติแล้ว ตามคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 3/2567 ไม่ได้ คำวินิจฉัยคดีก่อนไม่ผูกพันกับการวินิจฉัยคดีนี้ จำเป็นต้องพิจารณาข้อเท็จจริงใหม่ทั้งหมด ด้วยมาตรฐานการพิสูจน์ที่สูงกว่าคดีก่อน 4.มาตรการยุบพรรคต้องใช้อย่างระมัดระวัง ด้วยความอดทนอดกลั้น ได้สัดส่วนกับการกระทำผิด และเป็นมาตรการสุดท้ายแล้วเท่านั้น
ไม่เคยเตือนนโยบายเหมือนคนอื่น
ไม่เคยเตือนนโยบายเหมือนคนอื่น
นายพิธากล่าวว่า พรรค ก.ก.ยืนยันการกระทำที่ถูกกล่าวหา ไม่เป็นการล้มล้าง ไม่อาจเป็นปฏิปักษ์ต่อระบอบการปกครอง ไม่ว่าเรื่องนโยบายหาเสียง การยื่นร่างกฎหมายในสภาฯ การที่คนของพรรคเป็นนายประกัน หรือเป็นผู้ต้องหาในคดี 112 การที่ สส.ยื่นร่างกฎหมาย หรือนำการแก้ไขมาตรา 112 มาเป็นนโยบายหาเสียง ซึ่งที่ สส.เป็นนายประกันคดีมาตรา 112 ล้วนเคยมีผู้ร้อง กกต.ขอให้ยุบพรรค ก.ก.มาแล้ว แต่ยกคำร้องโดยตลอด และ กกต.ไม่เคยมีหนังสือเตือนมาที่พรรค ก.ก. เหมือนกับที่เคยส่งหนังสือเตือนพรรคการเมืองหนึ่ง ที่ไปหาเสียงที่จังหวัดนครราชสีมา โดยใช้สถาบันพระมหากษัตริย์ในการหาเสียง และไม่เคยทักท้วงนโยบายที่ยื่นให้ กกต. ต่างจากนโยบายของพรรคการเมืองหนึ่งที่ กกต.เคยให้ชี้แจง เรื่องการใช้งบประมาณ จะยุบคิดให้ดีทำลายหลักการ ปชต.
นายพิธากล่าวอีกว่า ร่างแก้ไขมาตรา 112 ของพรรค ก.ก.ยังไม่เข้าสภาฯด้วยซ้ำ หรือแม้จะเข้าไปในสภาฯได้ ยังสามารถยับยั้งหรือแก้ไขได้ในกระบวนการนิติบัญญัติ รวมทั้งยังถูกตรวจสอบจากศาลรัฐธรรมนูญได้อีกว่าขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่ สิ่งที่พรรค ก.ก.ถูกกล่าวหา เป็นสิ่งที่ระบบนิติบัญญัติสามารถยับยั้งได้ด้วยตัวเอง ไม่ได้เป็นความผิดที่เกิดขึ้นแล้ว ยังมีวิธีแก้ไขอื่นอยู่ หากเห็นว่าสิ่งที่พรรค ก.ก.ทำเป็นการกระทำที่ล้มล้าง หรือเป็นปฏิปักษ์ต่อระบอบการปกครอง ไม่ได้เป็นกรณีฉุกเฉินเร่งด่วน ที่จะต้องให้ยุบพรรค ก.ก. “ในกรณีของพรรค ก.ก. การกระทำยังไม่ใกล้ชิดต่อผล เมื่อมีคำวินิจฉัยออกมาเมื่อเดือน ม.ค. พรรค ก.ก.ได้หยุดการกระทำไปแล้ว ไม่มีความจำเป็นต้องใช้มาตรการยุบพรรค การยุบพรรคต้องเป็นไปเพื่อพิทักษ์และรักษาหลักการพื้นฐานของระบอบประชาธิปไตย ต้องพึงพิจารณาอย่างเคร่งครัด ระมัดระวัง และให้ได้สัดส่วนกับความรุนแรงของพฤติการณ์ของพรรคการเมือง มิเช่นนั้น การยุบพรรคจะกลายเป็นเครื่องมือในการทำลายหลักการพื้นฐาน และคุณค่าของระบอบประชาธิปไตย และล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยเสียเอง” “ธนาธร” ร้องโอ้โห ก.ก.ได้ 300 ที่นั่ง
ที่สำนักงานเขตพระนคร นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ให้สัมภาษณ์หลังร่วมสังเกตการณ์ การเลือก สว.ว่า เราพยายามอธิบายแนวอุดมการณ์ให้ประชาชนเข้าใจมากที่สุดในช่วงเวลาที่มีอยู่ หวังว่าประชาชนจะเข้าใจถึงความมุ่งมั่นที่จะสร้างสรรค์ประเทศไทยที่ดีของเรา และให้โอกาสพวกเราในการเลือกตั้งครั้งหน้า ไม่ว่าครั้งใดก็ตาม ดังนั้นไม่ว่าจะยุบพรรคหรือไม่ยุบพรรค เชื่อมั่นว่าจะได้รับความไว้วางใจจากประชาชนมากขึ้น ด้าน น.ส.พรรณิการ์ วานิช กรรมการบริหารคณะก้าวหน้า ที่มาร่วมสังเกตการณ์พูดแทรกว่า เลือกตั้งครั้งหน้าพรรค ก.ก.จะได้ สส.ถึง 300 ที่นั่ง จะได้ถึงหรือไม่ นายธนาธรถึงกับอุทาน “โอ้โห” ก่อนระบุว่าทำทุกวันให้เต็มที่ดีกว่า เผยมีทีมตกเขียวใช้เงินล่อซื้อ สส.
ผู้สื่อข่าวถามว่ากังวลหรือไม่หากมีการซื้อตัว สส.หน้าใหม่ หลังมีการยุบพรรค นายธนาธรตอบว่า ได้คุยกับเพื่อน สส. เริ่มมีการยื่นข้อเสนอที่เป็นตัวเงินให้ สส.บ้างแล้ว กลุ่มคนที่ทำแบบนั้นไม่ได้ปรารถนาดีกับประชาธิปไตยไทย คิดว่า สส.พรรค ก.ก.น่าจะหนักแน่นพอในรอบนี้ ส่วนตัวเงินขอให้ไปถาม สส.เองดีกว่า เพราะรู้กันหมด ส่วนการเคลื่อนไหวของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ที่ส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของรัฐบาล พยายามดึงนักการเมืองและพรรคการเมืองเข้าไปร่วมงานจะส่งผลกระทบต่อพรรค ก.ก.หรือไม่นั้น นายธนาธรตอบว่า ขอให้ไปถามนายชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรค ก.ก. ส่วนตัวยังเชื่อมั่นในอุดมการณ์และความตั้งใจของสส.พรรค ก.ก. สส.ไม่กังวลเดินหน้าทำงานต่อ
นายปารเมศ วิทยารักษ์สรรค์ สส.กทม. พรรคก้าวไกล กล่าวถึงประเด็นหากพรรค ก.ก.ถูกยุบว่า ในฐานะ สส.เขตขอเดินหน้าทำงานเต็มที่ไม่ต้องกังวลอะไร ส่วน สส.บัญชีรายชื่อของเราก็ทำหน้าที่ในสภาฯอย่างเต็มที่ สิ่งที่เราพยายามสื่อสารกับประชาชนเป็นอุดมการณ์ที่สานตั้งแต่พรรคอนาคตใหม่มายังพรรคก้าวไกล เราเดินหน้าเต็มที่อยู่แล้วไม่กังวลอะไร
“อิทธิพร” ย้ำคำวินิจฉัยศาล รธน.
“อิทธิพร” ย้ำคำวินิจฉัยศาล รธน.
ด้านนายอิทธิพร บุญประคอง ประธานกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ให้สัมภาษณ์กรณีพรรคก้าวไกลแถลงถึงข้อต่อสู้คำร้องยุบพรรค มีข้อสังเกตว่า กกต.ร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายว่า การดำเนินการของ กกต. ไม่ได้ดำเนินการตามระเบียบสืบสวนไต่สวน แต่เป็นการดำเนินการตามระเบียบว่าด้วยการตรวจสอบข้อเท็จจริง ตามระเบียบว่าด้วยการตรวจสอบข้อเท็จจริง ไม่จำเป็นต้องชี้แจงให้ผู้ถูกร้องทราบก่อน ขอตอบในนามส่วนตัวว่า ที่จำเป็นต้องส่งเรื่องไปศาลรัฐธรรมนูญ เพราะกฎหมายมาตราที่เกี่ยวข้องบอกว่าเมื่อ กกต. “มีหลักฐานอันควรเชื่อว่า” ซึ่งหลักฐานอันควรเชื่อว่าตรงนี้ก็คือคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ส่งไป ถ้าไม่มีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ เราอาจต้องดำเนินกระบวนการตรวจสอบข้อเท็จจริง รวบรวมพยานหลักฐานมากกว่านี้ นี่คือข้อเท็จจริงที่ได้แจ้งให้สาธารณชนทราบไปแล้ว คปท.ปลุกต้านนิรโทษเหมาเข่ง
อีกเรื่อง นายพิชิต ไชยมงคล แกนนำเครือข่ายนักศึกษาและประชาชนปฏิรูปประเทศ (คปท.) โพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า ทักษิณ ชินวัตร ไม่ได้ถูกยัดเยียดให้ทุจริตคอร์รัปชัน ไม่ได้ถูกยัดเยียดให้กระทำผิดมาตรา 112 เช่นเดียวกับยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ไม่ได้ถูกยัดเยียดทุจริต การกระทำผิดทั้งทุจริตคอร์รัปชัน กระทำผิดมาตรา 112 ความผิดอาญาร้ายแรง ไม่มีเหตุผลเกี่ยวข้องว่าเป็นเหตุมาจากการเมือง จึงจะนิรโทษกรรมให้ จึงขอคัดค้านการนิรโทษแบบเหมารวม หรือการพยายามสอดไส้เหมาเข่งโดยอ้างความปรองดอง ขอเชิญพี่น้องร่วมกิจกรรม ติดสติกเกอร์ในช่องทางโซเชียลทุกแพลตฟอร์ม ออกมาร่วมกับคปท.กองทัพธรรม ศปปส. รณรงค์แจกสติกเกอร์ติดท้ายรถ แสดงสัญลักษณ์ไม่เห็นด้วยกับการนิรโทษเหมารวม โดยมีกิจกรรม “ใส่รองเท้าผ้าใบ ไปรณรงค์ทั่วกรุงเทพฯ” เปิดตัววันที่ 12 มิ.ย. ขบวนรณรงค์แจกสติกเกอร์ที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เวลา 12.00 น.เป็นต้นไป โพลชี้คนยังไม่พอใจผลงาน รบ.
วันเดียวกัน นิด้าโพลเปิดผลสำรวจความคิดเห็น “ขอถามบ้าง...9 เดือน รัฐบาลนายกฯ เศรษฐา” สำรวจระหว่างวันที่ 4-5 มิ.ย. จากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไปทั่วประเทศรวม 1,310 หน่วยตัวอย่าง พบว่าส่วนใหญ่ร้อยละ 34.35 ไม่ค่อยพึงพอใจต่อการทำงานของรัฐบาลนายกเศรษฐา ทวีสิน ในรอบ 9 เดือน เพราะการบริหารจัดการมีความล่าช้าไม่มีการเปลี่ยนแปลงที่แตกต่างไปจากเดิม รองลงมาร้อยละ 31.69 ไม่พอใจเลย เพราะไม่มีความก้าวหน้าในการทำงาน ไม่สามารถทำตามนโยบายที่ได้หาเสียงไว้ มีร้อยละ 25.19 ที่ค่อนข้างพอใจ เพราะมีความพยายามผลักดันนโยบายต่างๆ ทำให้เศรษฐกิจดีขึ้น และเห็นผลงานชัดเจนในการแก้ไขปัญหา ร้อยละ 7.40 พอใจมาก เพราะตั้งใจในการทำงานช่วยเหลือประชาชน ทำให้ความเป็นอยู่ของประชาชนดีขึ้น ทั้งนี้ส่วนใหญ่ร้อยละ 35.95 ไม่มีความเชื่อมั่นต่อรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาของประเทศ เพราะไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆเกิดขึ้น ผลงานยังไม่ชัดเจน แก้ไขปัญหาที่ปลายเหตุ ร้อยละ 35.04 ไม่ค่อยเชื่อมั่น เพราะการทำงานไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ แก้ไขปัญหาไม่ตรงจุด มีร้อยละ 22.14 ค่อนข้างเชื่อมั่น เพราะมีประสบการณ์ในการทำงาน ร้อยละ 5.42 เชื่อมั่นมาก นอกจากนี้ส่วนใหญ่ยังคงมองว่าภายในระยะเวลา 2 เดือนนี้ นายเศรษฐายังคงอยู่ในตำแหน่งเหมือนเดิม ประชาชนหมดหวังองค์กรอิสระ
ด้านซูเปอร์โพล เปิดผลสำรวจความเห็นเรื่องความมั่นคง การเมือง เงินดิจิทัล จากประชาชนจำนวน 1,095 ตัวอย่าง ระหว่างวันที่ 5-8 มิ.ย. พบว่าเสียงแตกออกเป็น 3 กลุ่มในสัดส่วนพอๆกัน คือ ร้อยละ 35.7 สนับสนุนรัฐบาลให้ทำเรื่องความมั่นคงของชาติมากกว่า ขณะที่ร้อยละ 31.3 สนับสนุนรัฐบาลให้แจกเงินดิจิทัลมากกว่า และร้อยละ 33.0 ไม่มีความเห็น เมื่อสอบถามถึงความคิดเห็นของประชาชนต่อประเด็นสำคัญทางการเมืองและความมั่นคง พบว่าร้อยละ 93.6 รู้สึกหมดหวังกับองค์กรอิสระของประเทศ ร้อยละ 87.1 ต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลง การบริหารราชการ การแก้ไขปัญหาเดือดร้อนของประชาชน และร้อยละ 83.4 ระบุ ปัญหาการเลือก สว.จะบานปลาย ที่น่าพิจารณาคือเมื่อถามความคิดเห็นของประชาชนต่อ 40 สว.ยื่นศาลรัฐธรรมนูญจัดการกับนายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯ พบว่าส่วนใหญ่ร้อยละ 61.2 ไม่เห็นด้วย ขณะที่ร้อยละ 38.8 ระบุเห็นด้วย นายกฯยกผลโพลย้อนแย้งโต้
นายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯ ให้สัมภาษณ์ถึงผลสำรวจนิด้าโพลระบุประชาชนไม่พอใจการทำงานรัฐบาลในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมาว่า น่าคิดอยู่เหมือนกัน เพราะทางสำนักงานสถิติแห่งชาติเพิ่งเผยผลสำรวจออกมาว่าตัวเลขออกมาใช้ได้ แต่อีกหนึ่งสัปดาห์ให้หลังมีผลสำรวจลักษณะย้อนแย้ง ต้องดูว่าวิธีการทำสถิติ และการไปเก็บตัวเลขเป็นอย่างไร ครบทุกหมวดทุกเหล่าหรือเปล่า ถามเกษตรกรหรือเปล่า ต้องลงในรายละเอียดด้วย เราน้อมรับผลโพลที่ออกมา เราเองต้องพยายามทำให้ดีขึ้น และมั่นใจว่าในไตรมาส 4 ตัวเลขจีดีพีจะดีขึ้น แต่ต้องไม่ให้เรื่องเหล่านี้มาบั่นทอน แต่ละคนมีหน้าที่อะไรก็ขอให้ทำกันไป เหนือสิ่งอื่นใดถ้าเราเอาชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนเป็นที่ตั้ง เชื่อว่าถนนการเมืองทุกเส้นก็วิ่งสู่ความต้องการของพี่น้องประชาชน ใครมีวิธีการอย่างไรก็น้อมรับและยินดีฟัง