ข่าวบ้านผือทีวีนิวส์

บิ๊กโจ๊กเปิดศึกชน ลุยฟ้อง "เศรษฐา" มองเป็นแค่วาทกรรม ที่บอกจะให้ความเป็นธรรม

บิ๊กโจ๊กเปิดศึกชน ลุยฟ้อง "เศรษฐา" มองเป็นแค่วาทกรรม ที่บอกจะให้ความเป็นธรรม

  "บิ๊กโจ๊ก" เปิดศึกชน ลุยประเดิมฟ้องนายกฯ "เศรษฐา" เหตุไม่คัดค้านคำสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน แถมไปนั่งประธาน ก.ตร. รับรองมติ 12 ต่อ 0 จ่อฟ้องคณะกรรมการ ก.ตร. ยกชุด 12 เสียงในสัปดาห์หน้า ยันไม่ต้องการทะเลาะกับผู้บังคับบัญชา ตัดพ้อถามกลับ ทำไมตนถึงถูกรังแกมาทั้งชีวิต เพราะมีอายุราชการเหลือหลายปี เป็นอาวุโสลำดับที่ 1 และทำงานตรงใจประชาชน ถ้าอายุราชการเหลือแค่ 1 ปี ก็คงไม่มีปัญหากับใคร
เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 27 มิถุนายน 2567 ที่โรงแรมรามาการ์เด้นส์ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล อดีตรอง ผบ.ตร. เปิดให้สัมภาษณ์ตอบโต้มติคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ หรือ ก.ตร. ที่เห็นชอบคำสั่งให้ตัวเองออกจากราชการไว้ก่อน ว่าชอบด้วยกฎหมายนั้น ไม่ผิดความคาดหมาย เพราะตนเป็นรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รู้วิธีการทำงานของตำรวจ และเลขานุการ ก.ตร. ก็ไม่ได้ยืนยันว่าเป็นมติ 12 ต่อ 0 ดังนั้น มติอาจเป็นเพียงการรับทราบเท่านั้น และให้รอผลวินิจฉัยของคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรมข้าราชการตำรวจ ก.พ.ค.ตร. ก็ได้ อีกทั้งคณะอนุกรรมการวินัย ก.ตร. ก็ล้วนแต่เป็นตำรวจ อยู่ใต้บังคับบัญชาของผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ จะมีใครกล้าลงมติว่าผู้บังคับบัญชาผิด ตาม พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2565 ระบุว่าคณะอนุกรรมการวินัย ไม่มีอำนาจพิจารณาเรื่องร้องทุกข์ของตำรวจว่าถูกหรือผิด มีอำนาจแค่พิจารณาว่าผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติมีอำนาจสั่งการหรือไม่เท่านั้น 
ส่วนที่อ้างว่าก่อนหน้านี้มีอนุกรรมการร้องทุกข์ที่สามารถพิจารณาเรื่องคุณและโทษของตำรวจได้นั้น ปัจจุบันได้ถูกยุบไปแล้ว และมี ก.พ.ค.ตร. เข้ามาแทนที่ให้ความเป็นธรรมกับเรื่องร้องทุกข์ของตำรวจ ซึ่งเทียบเท่ากับศาลปกครองชั้นต้น ดังนั้นหลังจากนี้หากผลวินิจฉัยของ ก.พ.ค.ตร. ออกมาเป็นโทษกับตน ตนก็จะนำผลไปร้องศาลปกครองสูงสุดต่อไป 
ส่วนมติ ก.ตร. ที่ออกมาจะเป็นการกดดันการทำหน้าที่ของ ก.พ.ค.ตร.หรือไม่นั้น ตนมองว่าไม่ได้กดดัน เพราะทุกอย่างต้องพิจารณาตามกฎหมาย และ พ.ร.บ.ตำรวจ ส่วนที่มีคณะกรรมการ ก.พ.ค.ตร. ที่เป็นคู่ขัดแย้งกับตนอีกฝ่ายได้สละสิทธิไปแล้ว ทำให้ตอนนี้เหลือคณะกรรมการแค่ 6 คนในการพิจารณา จึงไม่มีอะไรน่าหนักใจ และตนก็ยังเชื่อมั่นใน ก.พ.ค.ตร. ว่าจะให้ความเป็นธรรม
ทั้งนี้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ยังตั้งคำถามถึงพฤติกรรมของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ที่ก่อนหน้านี้มีหนังสือถึงตน บอกว่าคำสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อนชอบด้วยกฎหมายแล้ว แต่กลับไม่นำความกราบบังคมทูลฯ และโยนให้คณะกรรมการกฤษฎีกาตีความ ซึ่งกฤษฎีกาตีความมาแล้วว่า เป็นคำสั่งที่ผิด พ.ร.บ.ตำรวจ เป็นการข้ามขั้นตอน ก่อนส่งเรื่องกลับไปที่ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ โดยอ้างว่าคำสั่งไม่สมบูรณ์ แต่ต่อมา กลับมานั่งเป็นประธานการประชุม ก.ตร. เมื่อวานนี้ และยังรับรองมติอนุกรรมการวินัยที่เห็นชอบว่าคำสั่งให้ตนออกจากราชการไว้ก่อนชอบด้วยกฎหมาย โดยไม่มีการทักท้วง ดังนั้นถือว่าความผิดสำเร็จแล้ว เพราะหากคำสั่งเห็นชอบด้วยกฎหมายจริง เหตุใดก่อนหน้านี้นายเศรษฐาจึงไม่นำความขึ้นกราบบังคมทูลฯ ด้วยเหตุนี้ตนจึงเตรียมฟ้องนายกรัฐมนตรี และคณะกรรมการ ก.ตร. ทั้งคณะ รวม 12 คน ในช่วงสัปดาห์หน้า
ส่วนที่นายกรัฐมนตรีให้สัมภาษณ์เมื่อช่วงเช้าว่าจะให้ความเป็นธรรมกับตน โดยให้รอผล ก.พ.ค.ตร. ใน 30 วันนั้น ไม่ใช่ว่าตนไม่เชื่อ แต่มองว่าเป็นเพียงวาทกรรม เพราะในทางปฏิบัติมันไม่ใช่ และความผิดของนายกรัฐมนตรี ถือว่าสำเร็จแล้วอยู่ดี
ส่วนกรณีที่นายวิษณุ เครืองาม ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ออกมาให้ความเห็นว่าไม่ควรฟ้องนายกรัฐมนตรีนั้น พล.ต.อ.สุรเชษฐ์มองว่า ตนก็ยังนับถือนายวิษณุอยู่ แต่ก็ต้องรักษาสิทธิของตนเพื่อความชอบธรรม และยืนยันไม่ได้ต้องการทะเลาะกับใคร รวมกรณีที่ พล.ต.อ.วินัย ทองสอง หนึ่งในคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงความขัดแย้งในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ออกมาติงตนนั้น ตนไม่ว่า หาก พล.ต.อ.วินัย ต้องการจะแฉ ก็แฉเลย แต่ต้องพูดให้หมด และเข้าใจให้ตรงประเด็นว่า ตนฟ้องอีกฝ่ายในข้อหาหมิ่นประมาท ส่วนอีกฝ่ายจะตรวจสอบข้อเท็จจริงพบอะไรก็ว่าไป แต่ไม่มีสิทธิวินิจฉัยคดี เพราะไม่ใช่ศาล
ทั้งนี้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ยืนยันว่าตนไม่ได้ต้องการทะเลาะกับผู้บังคับบัญชา แต่ขอถามกลับว่าทำไมตนถึงถูกรังแกมาทั้งชีวิต เพราะว่าตนมีอายุราชการเหลือหลายปี เป็นอาวุโสลำดับที่ 1 และทำงานตรงใจประชาชน สามารถแก้ได้ทุกเรื่อง ถ้าอายุราชการเหลือแค่ 1 ปี ก็คงไม่มีปัญหากับใคร  

"บิ๊กโจ๊ก" ร้อง ป.ป.ช. เอาผิด "บิ๊กต่าย" และ ตร.ยศ นายพลอีก 2 นาย"บิ๊กโจ๊ก" ร้อง ป.ป.ช. เอาผิด "บิ๊กต่าย" และ ตร.ยศ นายพลอีก 2 น

"บิ๊กโจ๊ก" ร้อง ป.ป.ช. เอาผิด "บิ๊กต่าย" และ ตร.ยศ นายพลอีก 2 นาย ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตาม ม.157 กรณีออกคำสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน และไม่เพิกถอนคำสั่ง ตามความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกา หลังตีความคำสั่งดังกล่าวมิชอบด้วยกฎหมาย เพราะดันไปเชื่อ ตร.บางนาย

เมื่อเวลา 12.20 น. พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล อดีตรอง ผบ.ตร. เดินทางมายื่นหนังสือร้องเรียนคณะกรรมการ ป.ป.ช.ให้ทำการตรวจสอบ กรณีการใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบ ตามมาตรา 157 นายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ 3 นาย ซึ่งประกอบด้วย พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ อดีต รรท.ผบ.ตร. พล.ต.ท.อภิชาติ สุริบุญญา รองผู้บัญชาการสำนักงานกฎหมายและคดี และ พล.ต.ต.อภิสัณห์ หว้าจีน ผู้บังคับการกองวินัย 

     

จากกรณี นายตำรวจทั้ง 3 นายมีความเห็นให้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ออกจากราชการไว้ก่อน ซึ่งต่อคณะกรรมการกฤษฎีกาตีความ ว่าคำสั่งดังกล่าวมิชอบด้วยกฎหมาย และหลังจากกฤษฎีกาตีความแล้ว กลับไม่มีการแก้ไขเพิกถอนคำสั่งดังกล่าวแต่อย่างใด         

       

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เปิดเผยภายหลังยื่นคำร้องว่า วันนี้ได้ยื่นคำร้องกล่าวหา อดีต รรท.ผบ.ตร. กับ ผู้บัญชาการสำนักกฎหมายและคดี และผู้บังคับการกองวินัย  ในข้อหาปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามมาตรา 157 ซึ่ง เป็นการใช้สิทธิ์ ตามกฎหมายปกติ เมื่อไม่ได้รับความเป็นธรรม ซึ่งกฎหมายได้ให้ทางเลือกไว้ 2 ทางคือ 1.คือการฟ้องร้องดำเนินคดีตามกฎหมาย 2.ร้องเรียน ป.ป.ช ซึ่งตนก็ขอเลือกใช้ทางเลือกร้อง ป.ป.ช. 

     

จากกรณี สั่งการเซ็นคำสั่งให้ตนออกจากราชการไว้ก่อน และไม่ยอมแก้ไขคำสั่งให้ถูกต้อง ตามความเห็นของกฤษฎีกา ซึ่งตีความไปแล้วว่าคำสั่งดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมายแต่กลับไปหลงเชื่อคนยุยงของคนอื่น 

ทั้งที่นายกรัฐมนตรีได้ทำหนังสือส่งตนกลับมาปฏิบัติหน้าที่ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติแล้วเมื่อ 18 เมษายน โดยข้อความระบุว่า ด้วยสำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีคำสั่งตั้งกรรมการตรวจสอบวินัยร้ายแรงไปแล้ว ดังนั้นจึงต้องริความเห็นของคณะกรรมการชุดดังกล่าวเสียก่อน แต่ในกรณีนี้ อดีต รรท.ผบ.ตร. กลับออกคำสั่งให้ตนออกจากราชการในวันที่นายกรัฐมนตรีส่งตัวกลับมา 

     

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวต่อว่า อดีต รรท.ผบ.ตร. เร่งรีบออกจากราชการเกินไป เพราะดันไปเชื่อ ตร.บางนาย และ กรต.บางคน ที่ไม่อ่าน พ.ร.บ.ตร.ฉบับใหม่ พ.ศ.2565 ให้แจ่มแจ้ง การกระทำที่เร่งรีบจนเกินเหตุ จึงกระทบสิทธิ์ของตน และไม่ตรงกับ พ.ร.บ.ตำรวจฉบับใหม่ ดังนั้นตนจึงต้องดำเนินการตามสิทธิ์ ต่อสู้ตามขั้นตอน ตามกรอบกฎหมายที่กำหนดไว้ ซึ่งไม่ใช่แค่ รรท.ผบ.ตร.เท่านั้น แม้แต่นายกรัฐมนตรี หากไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย ตนก็ต้องใช้สิทธิ์ในการฟ้องร้องดำเนินคดี และการออกมาพูดในลักษณะนี้ ไม่ใช่การข่มขู่นายกรัฐมนตรีแต่อย่างใด แต่แค่เตือนเท่านั้น 


“ไม่ได้กลัวว่านายกฯ จะโกรธเคือง เพราะผมพูดไปตามกฎหมาย เมื่อไม่ถูกต้องก็ต้องว่ากันไป ส่วนตัวไม่ได้โกรธเคืองตัวบุคคลหรือนายเศรษฐา ทวีสิน แต่ถ้านายเศรษฐา ซึ่งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ไม่ปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย ตนก็จะต้องฟ้องนายกรัฐมนตรี ซึ่งแต่เป็นการฟ้องตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเท่านั้นมิใช่ฟ้องตัวบุคคล” พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าว


      

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ยังกล่าวอีกว่า หากได้รับการเยียวยามีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งดังกล่าว และให้กลับไปยังสำนักงานตำรวจแห่งชาติอีกครั้ง ก็พร้อมทุกปัญหาทั้งหมด จะไม่มีการไล่ล่าสางแค้นใครอย่างแน่นอน 

     

ส่วนกรณีที่หลายคนออกมาระบุว่านายวิษณุ เครืองาม ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ออกมาเพื่อช่วยเหลือ บิ๊กโจ๊ก ให้กลับเข้ารับราชการในสำนักงานตำรวจแห่งชาตินั้น พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ระบุว่า นายวิษณุ ไม่ได้อกมาช่วยตน แต่พูดไปตามหลักกฎหมาย และเป็นไปตามความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกาตีความเท่านั้น สุดท้ายแล้ว ในกรณีของตน จุดจบของเรื่องนี้ คงอยู่ที่ชุดคณะกรรมการพิทักษ์คุณธรรม.

วิเคราะห์การเมือง : ผ่านวันลุ้นไม่หยุดระทึก

ไม่สะใจกองแช่งให้ติดคุก ไม่สมใจกองเชียร์ยังเฮไม่สุด

ศาลประทับรับฟ้อง และมีคำสั่งให้ปล่อยตัวชั่วคราว นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ จำเลยคดีความผิดประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 วางหลักประกัน 5 แสนบาท มีเงื่อนไขต้องวางพาสปอร์ต ห้ามเดินทางออกนอกราชอาณาจักรไทย

วันที่ 18 มิถุนายน 2567 ก็ผ่านไปอีกวัน ไม่ถึงขั้นโลกแตก โลกาไม่วินาศ

ตามธรรมชาติการเมืองแบบไทยๆภายใต้เงื่อนไขสถานการณ์เกมอำนาจพิลึกพิลั่น มันยังมีเหตุการณ์ให้ระทึกอกระทึกใจกันอีกเยอะ อะไรไม่เคยเห็นก็จะได้เห็นเป็นประวัติศาสตร์หน้าใหม่ อะไรที่เกิดขึ้นแล้วก็ไม่แปลกถ้าประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยเดิม

เมื่อโฟกัสอยู่ที่คนชื่อ “ทักษิณ” เท่ไม่พัก ฮึกเหิมไม่แผ่ว

แนวโน้มการเคลื่อนไหวไม่หยุด วางคิวเดินสายแข่งกับนักร้อง “ลำไย ไหทองคำ” ตามโปรแกรมถี่ๆ ปล่อยคิวล่วงหน้าสถานีต่อไป “บ้านใหญ่นครปฐม” เยี่ยมเยือนตระกูลสะสมทรัพย์ อารมณ์เดียวกับการเพิ่งโผล่ไปร่วมงานวันเกิดนักการเมืองขาใหญ่ นครนนท์ ประกาศทวงคืน สส.นนทบุรี

ยุทธการฟื้นอดีต ทวนความทรงจำยุครุ่งเรืองในเขตปริมณฑลช็อตต่อเนื่องจากจุดเริ่มต้นที่ “เถ้าแก่ใหญ่” นำคณะไปร่วมงานบวชลูกชายนักการเมืองท้องถิ่นพรรคเพื่อไทยในจังหวัดปทุมธานี แฝงเหลี่ยมหาเสียงช่วยนายชาญ พวงเพ็ชร ผู้สมัครนายก อบจ.ทีมเสื้อแดง

คึกคัก ย่ามใจอยู่ในมิติของ “โคตรเซียนการตลาด”

ด้วยเชื่อมั่นเกินร้อยในการฟื้นศรัทธาความนิยม รุกชิงพื้นที่ทางการเมืองในอดีตคืนจากกองทัพเด็กรุ่นใหม่ ด้วยพลังแรงส่งของ “นายกฯในตำนาน”

แต่นั่นก็ย้อนแย้งกับข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ ปรากฏการณ์ความเชื่อในระบบการเมืองแบบเก่าๆ หักมุมกับตัวเลขเชิงสถิติที่พิสูจน์ได้จากโพลสำนักมาตรฐาน

ตัวเลขแม่นๆ ข้อมูลแน่นๆโดยการสำรวจแบบเรียลไทม์ของ “นิด้าโพล”

ล่าสุดสดๆร้อนๆ เปิดโพยคะแนนนิยมสนามนายก อบจ.ปทุมธานี เต็งแชมป์ยังเป็น “บิ๊กแจ๊ส” พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผู้สมัครอิสระ ที่ “มีวันนี้เพราะพี่ไม่ให้” คะแนนนำมวยพรรคเพื่อไทย ส่อเข้าป้ายแบบม้วนเดียวจบโดยที่ “ทักษิณ” ลงพื้นที่ปทุมธานี ไม่มีผลต่อการตัดสินใจใดๆ

นอกจากไม่ช่วยแล้ว ยังเป็นตัวฉุดอีกต่างหาก จากการสำรวจ “นิด้าโพล” รอบแรกๆที่ออกมาชัดเลยว่า ยิ่ง “เถ้าแก่ใหญ่” เคลื่อนไหวโชว์ความเท่มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งทำให้คะแนนนิยมพรรคเพื่อไทยต่ำเตี้ยเรี่ยดิน

เพิ่มโจทย์หินให้นายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯ แบกหนักไปกันใหญ่

ในสภาพที่ทำใจยอมรับความจริงลำบาก แต่ก็ยากที่จะหลอกตัวเองให้เชื่อ เมื่อกระแสการเมืองใหม่ทั้งแรงและรวดเร็ว มาไกลเกินกว่าที่ความเข้มขลังชื่อ “ทักษิณ” จะเอาอยู่

เรื่องของเรื่องการเมืองอยู่ในจุด “เกินมือ” เกินกำลัง “นายใหญ่” บริหารจัดการนั่นก็โยงไปถึงสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ ภายใต้เงื่อนไขที่รัฐบาลพรรคเพื่อไทยเคลมตีกินบุญเก่า

เหมาขายเหล้าพ่วงเบียร์ ใช้ยี่ห้อ “ทักษิณ” เชี่ยวเชิงบริหาร ดึงศรัทธาชาวบ้านที่ติดอกติดใจผลงานเศรษฐกิจอดีตรัฐบาลไทยรักไทยยุครุ่งเรือง

แต่เรื่องที่ประชาชนฝัน เทียบกับสิ่งที่เกิดขึ้นจริง อ้างอิงตามตัวเลข “นิด้าโพล” ประชาชนส่วนใหญ่ไม่พอใจผลงาน ไม่เชื่อมั่นการทำงานในรอบ 9 เดือนของรัฐบาลภายใต้การนำของนายเศรษฐา ตอกย้ำด้วยสถานการณ์สดๆตรงหน้า ตลาดหุ้นร่วงระเนระนาด ทำสถิติต่ำสุดในรอบ 4 ปี จากช่วงวิกฤติโควิดมรณะ

เศรษฐกิจไทยแกว่งหนัก เจอแรงกระแทกจุกๆทางการเมือง เรื่องที่นักวิเคราะห์ตลาดหุ้นโยงกับคดีระทึกในศาลรัฐธรรมนูญ ชะตาของผู้นำแขวนต่องแต่งในคดีแต่งตั้งรัฐมนตรี “ถุงขนม 2 ล้าน” วิบากคดียุบพรรคก้าวไกล รวมไปถึงความเป็นอยู่เป็นไปคดีผิดอาญามาตรา 112 ของ “ทักษิณ”

แต่สาเหตุใหญ่จริงๆก็คือ การขาดช่วงพัฒนาการรองรับเศรษฐกิจยุคใหม่ ธุรกิจสีเขียว ทักษะแรงงานไทยไม่สอดรับอุตสาหกรรมยุคเอไอ รวมถึงความโปร่งใสในวงราชการและธุรกิจ ทุจริตครองเมือง

ไทยติดหล่มเกมอำนาจการเมืองเน่า หนีไม่พ้นผลประโยชน์ของนักเลือกตั้งอาชีพ

และในห้วงจังหวะบีบหัวใจ กระแสเบิ้ลบลัฟผู้นำอย่างนายเศรษฐา บริหารยังไงให้คนคิดถึง “ลุงตู่” กระตุกกองเชียร์ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกฯหูผึ่ง ลุ้นลุงทหารเฒ่ารีเทิร์น

ส่อเค้าวนเวียน ตัวเลือกป้วนเปี้ยนอยู่แค่นี้ ไม่มีสัญญาณบวกเลย.

"นฤมล" หารือประธานหอการค้ารัสเซีย-ไทย หนุนชาวรัสเซียเที่ยวไทย 2 ล้านคนในปีนี้

นางนฤมล กล่าวต่อไปว่า นอกจาก นาย Sergey Nazarov จะเป็นประธานหอหารค้ารัสเซีย-ไทยแล้ว ยังดำรงตำแหน่ง CEO ของบริษัท Transshow Tour ที่นำนักท่องเที่ยวจากประเทศรัสเซียเข้าไปที่ประเทศไทยเป็นจำนวนมาก โดยในปีที่ผ่านมามีชาวรัสเซียเดินทางมาท่องเที่ยวในประเทศไทยถึง 1,481,878 คน นับเป็นอันดับ 5 รองจากมาเลเซีย (4,523,020 คน) จีน (3,519,735) เกาหลีใต้ (1,658,688) และอินเดีย (1,626,720)

แต่หากพิจารณารายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติรายประเทศ จะพบว่ารายได้จากนักท่องเที่ยวชาวรัสเซียสูงถึง 93,935.80 ล้านบาท นับเป็นอันดับ 3 รองจากแค่จีน (196,961.94 ล้านบาท) และมาเลเซีย (95,315.93 ล้านบาท) ส่วนหนึ่งเป็นเพราะนักท่องเที่ยวชาวรัสเซียนิยมมาท่องเที่ยวเป็นเวลานานในประเทศไทย อย่างน้อย 2-4 สัปดาห์ จึงนำรายได้ท่องเที่ยวเข้าประเทศไทยเฉลี่ยสูงถึง 63,690 บาทต่อคน ซึ่งส่งผลดีต่อธุรกิจในห่วงโซ่อุปทานของภาคการท่องเที่ยวไทย  ในช่วงท้าย ผู้แทนการค้าไทย เน้นย้ำว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐบาล พร้อมส่งเสริมการท่องเที่ยวของชาวรัสเซียในประเทศไทย ยืนยันความพร้อมของภาคธุรกิจท่องเที่ยวของไทยในการรองรับนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น

โดยทางรัสเซียตั้งเป้าว่านักท่องเที่ยวรัสเซียจะเดินทางมาท่องเที่ยวไทยอย่างน้อย 2 ล้านคนในปีนี้ และคาดว่าจะนำรายได้จากการท่องเที่ยวเข้าสู่ประเทศไทยได้เพิ่มกว่า 1.3 ล้านบาทในปีนี้.

Cookie settings
X
This site uses cookies to offer you a better browsing experience.
You can accept them all, or choose the kinds of cookies you are happy to allow.
Privacy settings
Choose which cookies you wish to allow while you browse this website. Please note that some cookies cannot be turned off, because without them the website would not function.
Essential
To prevent spam this site uses Google Recaptcha in its contact forms.

This site may also use cookies for ecommerce and payment systems which are essential for the website to function properly.
Google Services
This site uses cookies from Google to access data such as the pages you visit and your IP address. Google services on this website may include:

- Google Maps
Data Driven
This site may use cookies to record visitor behavior, monitor ad conversions, and create audiences, including from:

- Google Analytics
- Google Ads conversion tracking
- Facebook (Meta Pixel)